ความดันโลหิต
ความดันโลหิต(Blood Pressure) เป็นแรงดันของเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือด ซึ่งวัดได้ 2 ค่า คือ
ความดันโลหิตค่าบน (Systolic) คือ แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว
ความดันโลหิตค่าล่าง (Diastolic) คือ แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว
ซึ่งใช้หน่วยวัดเป็น มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตของคนปกติ ขณะพัก มีค่าดังนี้
วัยทารก
|
ไม่ควรเกิน
|
90/60
|
มิลลิเมตรปรอท
|
3-6 ปี
|
ไม่ควรเกิน
|
110/70
|
มิลลิเมตรปรอท
|
7-17 ปี
|
ไม่ควรเกิน
|
120/80
|
มิลลิเมตรปรอท
|
18-44 ปี
|
ไม่ควรเกิน
|
140/90
|
มิลลิเมตรปรอท
|
45-64 ปี
|
ไม่ควรเกิน
|
150/90
|
มิลลิเมตรปรอท
|
64 ปี่ขึ้นไป
|
ไม่ควรเกิน
|
160/90
|
มิลลิเมตรปรอท
|
โรคความดันโลหิตสูง ( Hypertension) เป็นภาวะทางการแพทย์อย่างหนึ่ง โดยจะตรวจพบความดันโลหิต อยู่ในระดับที่สูงกว่าปรกติเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้ในปี 1999 ว่า ผู้ใดก็ตามที่มีความดันโลหิตวัดได้มากกว่า 140 /90 มม.ปรอทถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง และ การที่ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดในสมองตีบโรคหัวใจ โรคไตวาย เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง อัมพาต ฯลฯ
โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ที่มีความดันโลหิตสูงมักจะไม่รู้ตัวว่าเป็น เมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนมากจะไม่ได้รับการดูแลรักษา ส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องจากไม่มีอาการทำให้คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อเริ่มมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนแล้วจึงจะเริ่มสนใจและรักษา ซึ่งบางครั้งก็อาจจะทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร การควบคุมความดันโลหิตให้ปกติอย่างสม่ำเสมอ สามารถลดโอกาสเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เป็นข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
ตารางแสดงระดับความดันโลหิตของผู้ใหญ่
|
ระดับความรุนแรง
|
ความดันSystolic มม.ปรอท
|
|
Diastolic มม.ปรอท
|
วิธีการปฏิบัติตัว
|
ปกติ
|
<120
|
และ
|
<80
|
ความดันโลหิตของคุณปกติ
|
Prehypertension
|
120-139
|
หรือ
|
80-89
|
ความดันโลหิตของคุณอาจจะมีปัญหา ให้คุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย รับประทานอาหารคุณภาพ งดสุรา
|
Hypertension
|
>140
|
หรือ
|
>90
|
ปรึกษาแพทย์
|
ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
1. ลดน้ำหนักตัวในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานโดยการควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวันและเพิ่มการออกกำลังกายโดยไม่ควรใช้ยาลดความอ้วนเพราะยามักมีผลทำให้ความดันโลหิตสูงรวมทั้งเกิดผลข้างเคียงอื่นๆตามมาอีกด้วย
2. งดการสูบบุหรี่รวมทั้งงดการดื่มสุราและของมึนเมา
3. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์แนะนำให้เลือกออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวเช่นการเดินการวิ่งเหยาะๆหรือการแกว่งแขน
4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มเช่นปลาเค็มเนื้อเค็มขนมขบเคี้ยวที่มีรสเค็มเต้าเจี้ยวเต้าหู้ยี้อาหารดองเค็ม
5. รับประทานผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน ( สำหรับผลไม้ท่านที่เป็นโรคเบาหวานต้องระมัดระวังในเรื่องระดับน้ำตาลในกระแสเลือดด้วย )
6. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและโคเลสเตอรอลสูงเช่นเนยกะทิขนมเค้กมันฝรั่งทอดไข่ปลาหนังหมูหนังไก่อาหารประเภททอดทั้งหลายหอยนางรมกุ้งปลาหมึกไข่แดง
7. พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด
การดูแลรักษาโรคเบาหวานของคลีนิค ทำได้ดังนี้
1. สำหรับผู้ป่วยที่กินยาขับปัสสาวะ ควรกินส้มหรือกล้วยเป็นประจำ เพื่อทดแทนโพแทสเซียมที่เสียไปในปัสสาวะ
2. ควรรับประทานคึ่นช่าย เนื่องจากใบคึ่นช่ายมีเกลือแร่จำพวกแคลเซียมและฟอสฟอรัสอยู่มาก จึงเพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน และยังมีฤทธิ์ช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือด ช่วยในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดแข็งตัว และยังมีฤทธิ์ช่วยบำรุงสมอง ช่วยความจำได้อีกด้วย
3. นอกจากคึ่นช่ายที่ฤทธิ์ที่สามารถลดความดันได้แล้วยังมีสมุนไพรชนิดอื่นอีกที่สามารถช่วยลดความดันได้เช่นกัน ได้แก่ อาหารจำพวกถั่วเหลืองทานตะวันทับทิม เป็นต้น
ท่านสามารถปรึกษาแนวทางการรักษาได้ที่ ปัญญาสยามสหคลินิก ได้ที่ 02 905-8202-3 ทุกวัน 10.00-20.00 น.